ยาวมาก
ต้องมีบุญ จึงได้อ่าน และอ่านจบ
” เรียนธรรม ต้องรู้ธรรม และ ต้องเข้าถึงธรรม “
มีไม่กี่คนหรอก ที่จะได้อ่านเรื่องแบบนี้
และมีไม่กี่คน ที่อ่านแล้ว จะอิน จะเข้าถึงได้
ส่วนมาก อ่านแล้วก็ผ่านไป ลืมไป ไม่สนใจ เพราะ
มันเข้าไม่ถึง เหตุเพราะกิเลส อวิชชา บดบังปัญญา
…
ธรรมะ ที่ทำให้มนุษย์ เข้าถึงได้ ทุกคน มีจริง
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ” ธรรมะ ในจักรวาลนี้ มีมากมาย นับไม่ถ้วน
แต่ ที่พระพุทธเจ้าสอนมนุษย์ มีเพียงใบไม้ในกำมือนี้
เพียง 3 เรื่อง คือ
1. ดูกาย
2. ดูใจ
3. ทำสมาธิ
มีเพียง 3 ข้อนี้ ที่ให้มนุษย์เข้าถึง แล้วจะพ้นทุกข์ได้ พ้นสังสารวัฏไปได้
มีเพียงเท่านี้เอง
ส่วนมนุษย์ ที่บอกว่าปฏิบัติธรรมแล้ว ไปไม่ถึงไหน ไปช้า ไม่รู้ ไม่เห็น
เพราะ
เขาไม่ได้ปฏิบัติไปตาม 3 ข้อนี้ แต่ ไปปฏิบัติในแนวทางอื่นๆ
ซึ่งไม่ใช่พระคำสอนเลย
จึงได้แต่บ่นพร่ำ ว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไปไม่ถึง
แล้วคิดไปเองว่า ” นี่คงค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ เดี๋ยววันหนึ่งก็รู้เอง ”
ทั้งๆที่ตัวเอง ปฏิบัติผิดแนวทาง มาโดยตลอด หลงทาง ย่อมไม่มีทางถึง
…
ส่งการบ้านเทวดา 18 มกราคม 2565
อธิบาย 3 ข้อ พระคำสอน อย่างละเอียด
เพื่อให้เข้าถึง หลักธรรม ในการปฏิบัติ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นได้
จากสังสารวัฏแห่งทุกข์นี้
>>>
พระธรรม สำคัญ สำหรับมนุษย์ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
3 ข้อ คือ ดูกาย ดูใจ และทำสมาธิ
เป็นเรื่องหลักสำคัญมาก ที่มนุษย์ จะต้องเข้าใจหลักการนี้
จึงจะผ่านเข้าไป สู่ ต้นทางถนน แห่งพระนิพพานได้
แต่มนุษย์ ไปอ้อมเส้นทาง ที่ยาวไกลมาก เพียงเพราะ ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจ ( ไม่ใส่ใจ ) ใน 3 ข้อ ที่พระพุทธองค์สอนไว้
แล้วละเลย จน หลงทาง
ไปปฏิบัติ ปลายทาง ปลายเหตุ หรือ ปลีกย่อย
ที่ไม่ใช่เหตุแห่งการเข้าถึงธรรม
เช่น ไม่รู้กาย รู้จิต แต่มุ่งสวดมนต์
ทำให้สวดไปแล้ว ถึงจะได้สมาธิ แต่ก็ไม่เข้าใจ ว่า จะเอาสมาธิไปทำอะไร
ส่วนเรื่องพุทธมนต์ ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ ในแบบที่ พิสูจน์ได้
อย่างในพระคำสอนว่า
สันทิฎฐิโก คือ
รู้เห็นด้วยจิตของตัวเอง ไม่ต้องไปเชื่อใคร
ให้พิสูจน์จนเห็นผลได้ชัดเจนเท่านั้น
แต่
มนุษย์ กลับไปฝักใฝ่ใน อิทธิฤทธิ์ เดชแห่งพุทธมนต์บ้าง คาถาบ้าง
วัตถุที่ไปเรียกกันว่า วัตถุมงคลบ้าง ยันต์บ้าง เครื่องรางต่างๆบ้าง
แม้แต่พระเครื่อง พระพุทธรูปต่างๆ ซึ่งเหล่านี้
เป็นเพียงสิ่งปลีกย่อย และปลายเหตุทั้งนั้น
จึงทำให้มนุษย์ พิสูจน์ธรรมะไม่ได้ พิสูจน์ไม่เป็น และ เข้าไม่ถึง
จะบอกว่า ไม่มีทางเข้าถึงเลย ก็ว่าได้
…
กลับมาที่ เส้นทางที่ถูกดีกว่า
อย่าไปหลง มัวเมา
กับสิ่งที่มาร สร้างขึ้นมาไว้ในใจมนุษย์ นั่นคือ ความปรารถนาต่างๆ
ความปรารถนาแบบนี้ เรียกว่า ตัณหา หรือ อยาก
เมื่ออยาก ก็จะแสวงหาวิธีต่างๆ มาสนองตัณหานั้น โดยไม่มีปัญญาประกอบ
ก็ไปหายันต์บ้าง เครื่องราง วัตถุมงคลบ้าง
บทสวดมนต์ต่างๆมาสวดบ้าง โดยคิดว่าจะเสริมสิริมงคลให้ตัวเอง
แต่ กลับ ไม่รู้ กาย ไม่รู้ ใจ ของตัวเองเลย
สุดท้าย พิสูจน์อะไร ไม่ได้ซักอย่าง
>>>
การบ้านส่งเทวดา วันนี้
ผมเขียนมาจาก การปฏิบัติ ที่เคยหลงทางมาก่อน จนวันหนึ่ง
ค้นพบใบไม้ในกำมือ ที่พระพุทธเจ้ายื่นมาให้
จะอธิบายเป็นเรื่องๆ แบบนี้
>>>
1. ท่านสอนให้ ดู กาย
ดูว่า กายของเรานี้ มันไม่เที่ยง ก็คือ มันเสื่อมลงเรื่อยๆ
มันมีอายุขัยของมัน และเสื่อมลงทุกวันๆ
มีมนุษย์พยายามเอาชนะความเสื่อม โดยการใช้วิชาทางการแพทย์ เช่น
การศัลยกรรม มาทำให้ความเสื่อมทางกายภาพ ทางผิวหนัง ที่มันเห็นได้ชัดๆ
จากที่เด็กๆ ผิวเต่งตึง สีนวลเนียนสวย พอเริ่มโต ผิวก็เริ่มมีเส้นแตก สีคล้ำขึ้น
พอโตมากๆ เส้นแตกก็ลึกมาก ลายแตกเห็นชัด หนา ผิวก็แห้ง และสีเข้ม
ความเต่งตึง ก็เริ่มเสื่อม กลายเป็นความหย่อน และเหี่ยว
ต่อให้วิชาทางการแพทย์ มาช่วย ด้วยการดึง ฉีด ก็ทำได้เพียงปลายเหตุ
คนอายุมากแล้ว ต่อให้ฉีดหน้าอยู่ตลอด และหน้าตึงขึ้น ริ้วรอยลดลง
ก็ไม่มีทางที่หน้าตา จะกลับไปเหมือนตอนอายุ 15 ปี ได้
ลองเอารูปที่ทำศัลยกรรม แล้วดูดีที่สุด มาเทียบกับรูปตอนอายุ 15
เทียบยังไง ก็ ไม่กลับไปเป็นเด็ก เป็นธรรมชาติแบบนั้นได้เลย
แล้ว ต่อให้ฉีดหน้า ผ่าตัดทำศัลยกรรมมาแล้ววันนี้
หน้าตาออกมาสวยขึ้น เต่งตึงขึ้น เส้นต่างๆลดลงไปมาก
วันพรุ่งนี้ ก็จะเริ่มหย่อนลง เหี่ยวลงไป เส้นก็จะเริ่มเกิดขึ้น ลึกขึ้นใหม่
นับเป็นวันๆกันเลยทีเดียว เพราะ ร่างกาย ผิวหนังของมนุษย์
มันมีแต่ เสื่อมลงทุกวัน ไม่ใช่ดีขึ้นทุกวัน
การดูกาย คือ ให้ดูว่า กายมันเป็นของเสื่อม
มันไม่เที่ยง ก็คือ มันไมได้อยู่อย่างนั้นไปได้ตลอด ไม่ว่าจะดี หรือจะเลว
มันคงสภาพแบบนั้นนานๆไม่ได้ เช่น นั่งนานๆก็ไม่ได้ มันเมื่อย
ต้องลุก เปลี่ยนท่า หรือลุกไปทำอย่างอื่น
ขนาดนอน ยังต้องขยับ พลิกเปลี่ยนท่าตลอด
ทั้งๆที่เปลี่ยนท่า จากนอนหงาย ไปนอนตะแคง ทำให้รู้สึกว่าสบาย
แต่พอตะแคงไปนานๆ ก็เริ่มเมื่อย และอึดอัด ก็ต้องพลิกตัวใหม่
มานอนหงายเหมือนเดิม หรือตะแคงไปอีกข้าง
เห็นไหมว่า มันคงสภาพอยู่อย่างนั้นไม่ได้นาน ก็คือ มันไม่เที่ยง
…
ร่างกายของเรา มีส่วนที่เรามองเห็น คือ ภายนอกร่างกาย
จะมี ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง ที่เรามองเห็น
และมีส่วนที่เรามองไม่เห็นอยู่ภายใน
คือพวกอวัยวะภายในต่างๆ
ตับ ไต ไส้ ม้าม หัวใจ มันสมอง เส้นเลือด เส้นเอ็น
กล้ามเนื้อ กระดูก พวกนี้ก็ล้วนแต่ เสื่อมลงทุกวัน
ทั้งอวัยวะภายนอก และภายใน เป็นที่ขจัดของเสียต่างๆออกไป
ซึ่งนั้นหมายถึง มีของเสียต่างๆ เกิดขึ้นภายในร่างกาย ตลอดเวลา
และถูกขจัดออกมา ทุกวันๆ
การดูกาย ท่านให้ดูว่า ร่างกายเรานี้ เป็นของเน่าเสียได้
มีแต่ของเสียอยู่ภายในร่างกาย แม้แต่ภายนอกร่างกาย
เช่น กลิ่นเหงื่อเหม็นๆ ผมเหม็นๆ ขี้ตา ขี้หู ขี้เล็บ ขี้ฟัน
ล้วนเป็นของเน่าเหม็น เป็นของเสีย
>>>
เมื่อดูกายอย่างนี้แล้ว ก็ให้รู้ว่า กายนี้ ไม่เที่ยง มีแต่ความเสื่อมลง เสื่อมลงทุกวัน
แล้วก็ มีแต่ของเน่าเสีย เน่าเหม็น สะสมอยู่ข้างใน ขับออกมาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ที่ขับออกมาไม่ได้ ก็ไปสะสมให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่ร่างกาย
กลายเป็นโรคต่างๆ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ
เป็นโรคต่างๆมากมาย เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคปอด
โรคเบาหวาน โรคความดันสูง โรคไขมันสะสมในเส้นเลือด
ทำให้ร่างกายจากค่อยๆเสื่อม ก็เสื่อมอย่างรวดเร็ว
จนธาตุขันธ์มันบีบคั้นเอามากๆ ก็ทนไม่ได้ ต้องตายไป
และตายก่อนหมดอายุขัยที่เหมาะสม มีมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือ ความเสื่อม และวิธีดู กาย
>>>
…
ข้อ 2. ดูใจ
การดูใจ เป็นเรื่องของจิต
จะไปใช้ประสาทสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปดูไมได้
การดูใจ ต้องใช้ จิต เข้าไปดู หรือเรียกว่า ความรู้สึกก็ได้
โดยให้จิต เข้าไปรู้ว่า ใจเรานั้น มันสั่นกระเพื่อมไหวตลอดเวลา
มันไม่เคยนิ่ง มันคิด มันไหลไปตลอด
ใน 1 นาที ใจมันไปหลากหลายแห่ง มันไหลไปเรื่อย
สิ่งที่มันไหลไปนั้น ก็มาจาก สิ่งที่กายไปรับการกระทบมา เช่น
กำลังดูหนัง ตาดูหนัง แต่ใจ มันก็จินตนาการไปตามหนัง และไปก่อนหนัง
คือ มันคิดไปก่อนหนังแล้ว ว่า ต่อไปน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
เรียกว่า ใจมันปรุงแต่ง
การดูใจ ก็คือ ดู เพื่อให้รู้ทันใจ ว่ามันกำลังคิด กำลังไหลไป กำลังปรุงแต่ง
ไม่ว่าจะไปไหน ไปในเรื่องอดีต ไปในเรื่องอนาคต
ด้วยพลังของใจ สามารถไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีจำกัด
แม้ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แค่ใจนึกคิดว่าไป มันก็จะถึงทันที
อำนาจของใจ มีมากกว่ากาย มากมายไม่มีคำเปรียบเทียบได้
เหมือนกับ คนยกของหนักได้ 50 กิโล แต่ใจสามารถนึกคิดให้ยกของหนักได้
เป็นหลายล้านๆกิโล ยกภูเขาก็ได้ ยกดวงอาทิตย์ก็ยังได้ นี่คืออำนาจของใจ
การดูใจ คือ ดูให้รู้ทันใจ รู้ทันว่า ใจกำลังคิด กำลังไหลไป ไหลไปไกล
การไหลไป ใจก็ปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งการปรุงแต่งไม่ใช่เรื่องจริง
และการปรุงแต่ง นำมาซึ่ง การทำให้ใจ เป็นทุกข์ได้
หรือบางครั้ง ปรุงแต่งให้ใจเป็นสุข ก็ตามที สุดท้าย ความสุขนั้นไม่จริง
ใจก็เป็นทุกข์ เพราะเก็บความสุขนั้นไว้ไม่ได้
นี่คือเรื่อง อนัตตา คือ มันไม่มีตัว มีตน
มันพ่วงกันมาเลย ตั้งแต่ มันไม่เที่ยง ทำให้เป็นทุกข์ และไม่มีตัว มีตน
ทุกอย่าง มันควบคุมไม่ได้เลย แม้แต่กายของเราเองแท้ๆ
การดู ใจ ท่านสอนให้ดู เพื่อให้รู้ทันใจ
เพื่อเวลาที่ ใจหลงใหลไปตามกิเลส เช่น ใจอยากได้
เมื่อดูใจแล้วรู้ทัน ใจรู้ จะดับใจอยากได้
ใจรู้ จะรู้เห็นทุกข์ ถ้าปล่อยให้ใจอยาก ปรุงแต่งไปจนสั่งกายให้ลงมือกระทำ
เช่น ตามองเห็นกระเป๋า ใจอยากได้ แต่ไม่มีเงินซื้อ
ใจก็คิดหาวิธีที่จะได้มาต่างๆนาๆ
เมื่อไม่มีทางที่ถูกต้อง ใจก็หาวิธีที่ไม่ถูกต้อง แล้วสั่งให้กายไปทำ
แต่ใจรู้ รู้ว่า ถ้าทำแบบนี้ แล้ว จะมีผลเสียเกิดขึ้น ทั้งทางโลก คือ กฎหมาย
และทางธรรม คือ กฎแห่งกรรม
ใจรู้ ก็จะเข้าไปรู้ทัน ว่า อย่านะ ฉันรู้ทันเธอนะ
ว่าเธอกำลังคิดชั่วๆ และจะทำชั่วๆใช่ไหม
อย่านะ มันไม่ควรทำ เพราะถ้าทำแล้ว จะเป็นทุกข์ จากผลของมัน
เมื่อใจอยาก ถูกใจรู้ รู้ทัน ใจอยาก ที่มีมาจากสัญญาจำ ไม่ใช่ปัญญา
จะเกิดปัญญาขึ้นมา
เมื่อเกิดปัญญาขึ้นมา ใจอยากก็ดับลงไปได้เอง อัตโนมัติ
แบบนี้ ถ้าฝึกเป็นประจำ ใจรู้ จะรู้มันได้อย่างรวดเร็ว
รวดเร็วขนาดที่ ใจอยากไม่ทันผุดขึ้นมา ใจรู้ ก็เข้าไปดับ ไปตัดได้เลย
ทำให้สมองเราคิดไม่ทันใจ
พูดง่ายๆว่า ใจรู้ หรือจิตรู้ ฉลาดกว่าสมองแล้ว
อย่างนี้ เรียกว่า การดูใจนะ
>>>
…
ข้อ 3. ทำสมาธิ
การทำสมาธิ ในแบบที่พระพุทธเจ้าสอน
คือต้อง ฝึกการรู้กาย รู้ใจให้ได้เสียก่อน
แต่ผมคิดว่า ที่เขียนมาแล้ว 2 ข้อ
จิตเทวดา จิตพรหม ของท่านทั้งหลาย จะเข้าใจกันแล้ว
บางท่านตื่นรู้ เข้าถึงไปเรียบร้อยแล้ว
ก็มาเข้าเรื่องสมาธิกันได้เลย
ทำไม ? คนส่วนมาก เข้าไม่ถึงสมาธิ
ตอบได้เลยว่า ก็ยังไม่รู้กาย รู้จิต นี่แหละ
ลองไปปรับทำใหม่นะ ฝึกไปตามขั้นตอน
คนมีพื้นฐานแล้ว มีของเก่ามา ทำวันเดียวก็ได้แล้ว หรืออ่านมาถึงตรงนี้ ก็คือ
แทงทะลุทะลวงออกได้หมดแล้ว
ส่วนคนที่เพิ่งเริ่มกันจริงๆ ไม่มีของเก่ามาเลย หรือของเก่ายังไม่ผุดมาตื่นรู้
ก็ไม่ได้ยากอะไรนะ
ผมก็ใช้ภาษาคนง่ายๆ แบบ คน สอน คน นี่แหละ
ไม่ใช่ พระ สอน คน หรือ เทพเทวดา สอน คน มันถึงจะเข้าใจได้ยากๆ
เพราะผมไม่ได้ใช้ศัพท์ยาก และแทบไม่มีบาลีซักคำ ( มีก็แปลให้แล้ว )
…
เมื่อรู้วิธีดู กาย และ วิธีดู ใจ แล้ว
การนั่งสมาธิ จะทำให้เรา เข้าไปถึงขั้น ปัญญา
ที่เป็นหนทางพ้นทุกข์ ในระดับสูงๆขึ้นไป
พูดไปแล้ว การดู กาย ดูใจ รู้กาย รู้ใจ ก็เป็นปัญญาขั้นต้น
ที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว
( พ้นทุกข์ เพราะเรารู้ทันทุกข์ )
จากการควบคุมใจ กาย ตัวเองได้ เป็นอย่างดี
รู้ว่า มันไม่เที่ยง ก็อย่าไปฝืน อย่าไปเอาชนะมัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้
เมื่อไม่ฝืน ไม่เอาชนะ และดำเนินไปตามความเป็นจริง มันก็ไม่ทุกข์
ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน ตัวของกู ของๆกู เพราะทุกอย่างมันมีความเสื่อม
และไม่คงอยู่ นั่นคือที่สุดของชีวิต มนุษย์
>>>
การทำสมาธิ จะต้องทำ 2 แบบ
แบบแรก คือ การชาร์ตแบตจิต ให้เต็มเปี่ยม
การชาร์ตแบตจิต ก็เพื่อให้จิตมีกำลัง
โดยจะเอากำลังนี้ เข้าไปศึกษา เพื่อค้นหาปัญญา
ซึ่งมีอยู่หลายเรื่อง จนครบ เพื่อให้บรรลุถึงความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
…
การทำสมาธิแบบแรก เรียกว่า การทำสมถกรรมฐาน
( อ่านว่า สะ มะ ถะ กำ มะ ฐาน )
สมถกรรมฐาน คือ สมาธิ ในแบบที่คนทั่วโลกทำกัน ที่ฝรั่งเรียกว่า Meditation
คือ การทำสมาธิ เพื่อการพักผ่อนใจ
ทำให้ใจเบาๆ ใจโล่งๆ ว่างๆ ตัดพวกความคิด ความกังวลต่างๆออกไปจากใจชั่วขณะ
ที่บอกว่าชั่วขณะ เพราะ มันตัดออกไปจริงๆไม่ได้นะ
พอจิตกลับเข้ามาสู่ สภาวะของโลกความเป็นจริง
ความคิด ความกังวลต่างๆ มันก็กลับมาเหมือนเดิมนั่นแหละ
แต่
การทำสมถกรรมฐาน มันจะตัดเรื่องพวกนั้นออกไปก่อนได้
คือ
การนั่งหลับตา แล้วปล่อยวางจิต ออกจากเรื่องราวต่างๆ ทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคต
โดยเอาจิตไปตั้งมั่นไว้ที่ใดที่หนึ่ง
จุดที่จิตไปตั้งมั่น จะเป็นที่ๆจิต คิดว่า ที่นั่น เป็นที่ๆไว้ใจได้ เป็นที่พึ่งได้
เช่น องค์พระ หรือ พื้นที่ที่สบายๆ เช่น น้ำนิ่งๆ ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า
แต่ส่วนใหญ่ จะมักตั้งอยู่ในจุดที่จิตคุ้นเคย และไม่ใหญ่ ไม่เล็ก เกินไป
พอให้จิต นึกคิดได้ เป็นภาพ
แล้วตั้งอยู่อย่างนั้น ที่เดียว ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
การตั้งมั่นจิตไว้จุ