ไม่มีบุญพอ ก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้
…
ส่งการบ้านเทวดา 28 มกราคม 2565
เรื่อง ” ฝากจิตของแม่ กับเทวดาพี่ใหญ่ พาท่านไปก่อน เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง “
>>>
แม่ : เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าถ้าเราตายไปแล้ว เราจะไปที่ไหน
หรือ มันจะมีที่ๆต้องไปต่อหรือไม่ เราก็ไม่รู้ได้เลย
A : รู้สิครับแม่ เรื่องแบบนี้ คนส่วนมากไม่รู้ แต่ก็มีคนรู้นะครับ
แม่ : อย่าไปเชื่ออะไรแบบนั้นเลย มันไม่จริงหรอก
A : เราไม่รู้ ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มี หรือมีแค่ที่เรารู้ครับ
ความรู้ในจักรวาลนี้ มีมากเกินกว่าที่เราจะรู้ได้ทั้งหมด เรารู้จริงๆไม่ถึง1% เท่านั้นเอง
แม้แต่ความรู้เฉพาะในโลกนี้ เรายังรู้ได้ไม่ถึง 5% เลยนะครับ
จึงจะบอกว่า สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่มีจริง ไม่ได้
ยกตัวอย่าง
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว แม่จะรู้หรือว่า เราจะมีโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล็กๆ
และมีประสิทธิภาพสูง ทำให้เราได้ใช้ และมีใช้กับแทบทุกคนแบบนี้
แต่ตอนนี้ เรามี และมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ
ไม่ได้วิเศษวิโส เหมือนเมื่อ 30-40 ปีก่อน
หรือแม้แต่ เมื่อไม่นานนี้
เราเห็นคนบินได้กันแล้ว ด้วยเครื่องเจ็ทสุดล้ำ
ที่มีราคาเพียงไม่กี่ล้านบาท คนรวยๆ ก็จับต้องซื้อมาใช้กันได้
ถ้าเราพูดเรื่องนี้กันเมื่อ 20 ปีก่อน หลายคนก็จะบอกว่า
มันเป็นไปไม่ได้ หรือ เป็นไปได้ยาก ใช่ไหมครับ
นี่แค่เรื่องทางโลก
>>>
ส่วนเรื่องของจิตวิญญาณ ที่ยากต่อการเข้าใจ เข้าถึง และเรียนรู้
ซึ่งต้องใช้จิต และความรู้สึก ที่ต้องมีปัญญา เป็นเครื่องประกอบ
นี่ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย
…
เรื่องชีวิตหลังความตาย
ถ้าคนบอกว่า ไม่มีหรอก หรือ ตายแล้วก็ สูญ
แล้วเขากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำไม
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขากราบไหว้ มาจากไหน ถ้าชีวิต สูญที่การตาย
แล้วกราบไหว้บรรพบุรุษทำไม ตรุษจีน ต้องจัดอาหารต่างๆไปไหว้ทำไม
ก็เพราะคนเราคิดว่า มีวิญญาณของบรรพบุรุษอยู่จริง ไม่ใช่หรอกหรือ
และแบบนี้ ถ้าเราตายไป เราก็ต้องถูก ลูกๆหลานๆ
เอาเครื่องไหว้ เครื่องเซ่นเหล่านี้ มากราบไหว้เรา ไม่ใช่หรือ
…
ชีวิตหลังความตาย เรียกว่า ภพภูมิ
มีความยาวนานมาก
ทำให้คนที่รู้เรื่องนี้ ให้ความสำคัญมาก
คนที่รู้อย่างลึกซึ้ง จะให้ความสำคัญ มากกว่าชีวิตในปัจจุบันนี้เสียอีก
เพราะ ชีวิตในโลกนี้ มันมีอายุเพียง 75 ปีเท่านั้น
นี่คืออายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในปัจจุบัน
แต่
ชีวิต หรือภพภูมิ หลังความตายจากโลกนี้ ( ของมนุษย์ )
มันยาวนานมากกว่า ชีวิตมนุษย์ หลายหมื่น หลายแสนเท่า
หมายความว่า
เราจะไปอยู่ที่ไหน ไปเป็นอะไร ไปสุข หรือไปทุกข์
เกิดๆ ดับๆ อยู่อีกเป็น หมื่นๆ แสนๆปี หลายภพ หลายชาติ
หลังจากตายไปแล้ว
…
สิ่งที่ คนที่เขารู้เรื่อง จิตวิญญาณ และ ชีวิตหลังความตาย กังวลมากๆ คือ
>>> เขาไม่อยากตายแล้ว ไปอยู่ในที่ๆมีแต่ความทุกข์
ซึ่ง ที่ๆมีแต่ความทุกข์ มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก
และคนส่วนมากในปัจจุบันนี้ แทบจะพ้นจากดินแดนแห่งทุกข์นี้ ไปได้ ยากจริงๆ
เพราะ
เหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะพาเขาไปสู่ดินแดนแห่งทุกข์ มีมากมายเหลือเกิน
ได้แก่ เรื่อง กรรม ต่างๆ
เช่น ความชั่ว กิเลส ตัณหา ราคะ ที่เราทำอยู่ทุกๆวัน
…
ความชั่ว ไม่ได้มีแค่เรื่องผิดศีล
ไม่ได้หมายถึงการผิดศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือ ศีล 227
แต่ รากเหง้าของความชั่วจริงๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
นั่นคือ
ความโกรธ ความโลภ และความหลง
ความโกรธ หมายความรวมไปถึง ความหงุดหงิด รำคาญ ความกังวล
ความห่วงหาอาทร ความชอบ ความไม่ชอบ ความไม่เป็นไปอย่างใจคิด
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นกับมนุษย์ตลอดเวลา
ส่วนความโลภ และ ความหลง นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
มันผุดขึ้นแทบทุกวินาที ในจิตใจมนุษย์
เพราะ มนุษย์ จะรับสิ่งกระทบต่างๆ ให้เกิดความโลภ และหลง ตลอดเวลา
ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เห็นก็อยาก ไม่อยาก แม้ไม่อยาก ยังเรียกว่า โทสะเลย
คือ ไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัว แบบนี้คือส่วนหนึ่งของ โทสะ
>>>
รากเหง้าของทุกข์ คือตัวการหลัก ที่พาให้จิตของเรา ดิ่งลงต่ำ
และสุดท้ายปลายทาง คือ ทุคติ
นั่นคือ นรก นั่นเอง
ส่วนนรก มีดินแดนเป็นอย่างไร มี หรือ ไม่มี อันนี้
ไม่มีใครพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ แต่ ” ความทุกข์ ” เรารับรู้ได้
ความทุกข์ จึงเป็นความหมายของ นรก ที่เข้าใจง่ายๆ
และความทุกข์ ก็มีมาก และน้อย
เคยได้ยินคนพูดว่า ” ทุกข์แสนสาหัส ” ใช่ไหม ?
ลองนึกคิดดู ว่ามัน หนักหนาสาหัสแบบไหน ยังไง
มันมากกว่าทุกข์ทั่วไปยังไง
แต่ในภพภูมิแห่งทุกข์ มันมากมายกว่าที่จิตมนุษย์จะนึกคิดได้
มันมากจนเกินจินตนาการ
ประมาณว่า ถ้ามีความทุกข์จากความเจ็บปวด ที่มนุษย์รู้สึกได้
อย่างมาก ทุกข์ที่เจ็บปวดมันบีบคั้นมากๆ มนุษย์ก็แค่ ตาย
แต่ ในภพภูมิแห่งความทุกข์ มันไม่ตาย
คือมันเจ็บปวดมาก แต่ไม่ยอมตาย และเจ็บปวด ทุกข์ทรมานยาวนาน
ถึงแม้กายแตกสลาย ก็เกิดใหม่ขึ้นมาเจ็บปวดต่อไปอีก
นึกสิว่า มันทุกข์แค่ไหน ???
…
แม่ : มันไม่มีอย่างนั้นหรอก อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อยนักเลย
A : ครับ ผมพูด เท่าที่ผมควรจะพูดไปแล้ว
ส่วนแม่จะรับรู้ หรือไม่รับรู้นั้น ผมทำอะไรต่อไม่ได้
>>>
การปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา เพื่อเข้าไปรู้เห็นความเป็นจริงในสังสารวัฏ
เป็นการรู้เห็นเรื่องที่ คนทั่วๆไป มองด้วยตา หรือความรู้สึกจากสัญญาจำได้หมายรู้
ที่ติดตัวมา ไม่เห็น ไม่รู้ได้
ต้องเข้าไปพิจารณา ด้วยปัญญา ซึ่งปัญญา จะมาจาก
การยอมรับ ความเป็นจริงนั้น ซึ่งมีเรื่อง >ไตรลักษณ์
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของกาย
หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
การเข้าไปเห็น ความไม่มีตัวมีตน
มีกาย มีเวทนา มีจิต แยกกันออกหมด เหมือนรถยนต์
ที่แยกพวกมาลัย เบาะ เครื่องยนต์ และล้อออกจากกันแล้ว
เราไม่เรียกพวงมาลัยว่า เป็นรถยนต์
ไม่เรียกเบาะว่า เป็นรถยนต์
ไม่เรียกเครื่องยนต์ และล้อ ว่า เป็นรถยนต์
แต่ รถยนต์ เป็นสิ่งสมมุติขึ้น จากการประกอบหลายๆส่วนเข้าด้วยกัน
เหมือนมนุษย์ ที่ประกอบขึ้นด้วย กาย เวทนา จิต และธรรม
ที่เรียกว่า สติปัฏฐาน 4
ทั้ง 4 อย่าง ประกอบขึ้นมา เป็น มนุษย์ ที่มีกาย ใจ ความรู้สึกนึกคิด
…
ผมฝากการบ้านตอนนี้ ให้ท่านเทวดาพี่ใหญ่
และฝากดวงจิตของแม่ของผม อยู่ในความดูแลของท่าน
ด้วยการนำบุญที่ผมได้สั่งสมมาทั้งหมด พาแม่ของผมไปให้พ้นจากภพภูมิแห่งทุกข์
และหรือ ผ่านวังวนแห่งภพภูมิในวัฏสงสารนี้ไป ไม่ต้องมาเกิดอีก
ถึงแม้ว่า มันจะทำได้ยาก ก็ตามแต่
เพราะ บุญใครก็บุญมัน ทำให้กันไม่ได้
ก็ได้แต่อุทิศไป แม้จะได้น้อย แต่ก็ให้สะสมไปทุกวันๆ
ส่วนตัวผมนั้น จะไปเอาตัวรอดเอง ในวาระข้างหน้า
ซึ่งขอให้ท่านเปิดทาง ให้ได้กลับมาอยู่ในบวรของพุทธะ เช่นเดิม
ได้มาทำต่อ ในเรื่องนี้ อย่าได้ขาดช่วง
อย่าได้หลงทางไป หลุดไปอบายที่ยาวนาน จนหาทางกลับไม่ได้
ผมเป็นห่วงแต่แม่ ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้
>>>
มนุษย์ ส่วนมาก รู้จักแต่กราบไหว้ ขอพรจากเทพ เทวดา และบรรพบุรุษ
เพื่อให้ตัวเองมีอยู่ มีกิน มีความสุขสบาย ในภพภูมินี้ ชาตินี้ เพียงชาติเดียวเท่านั้น
เป็นเพราะ มนุษย์ ไม่รู้จัก ปัญญา ที่แปลว่า ” ความจริง “
แต่รู้จักแต่ ปัญญา ที่แปลว่า ” ความรู้ ” เท่านั้น