ปฏิบัติธรรม จะพัฒนาได้อย่างไร ?
…
ไม่มีบุญ ไม่มีวาสนาได้อ่าน
ต่อให้ได้อ่าน ก็ไม่เข้าหัว เข้าใจ และเข้าถึงได้
…
ต่อให้ท่านเรียน ” ปริยัติ ” จนจบ 9 ประโยค รู้ทุกเรื่องในพระไตรปิฎก
บาลีคล่อง สอนได้ เล่าได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ และพระธรรมคำสอน
แต่ ” ปฏิบัติ ” ไม่เป็น หรือไม่แตก
” ปฏิเวธ ” ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
เหมือนพระ บวชมา 20 ปี 30 ปี แล้วสึก เพราะเข้าไม่ถึงธรรมระดับลึกซึ้ง
ที่จะพาตัวเองหลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ ก็ต้องกลับไปอยู่ในวังวนแห่งทุกข์
กลับไปอยู่ ” กามภพ ” อย่างเต็มตัว
กลับไปสร้างภพชาติใหม่ หรือ กรรม ให้ตัวเอง ไม่รู้จักจบจักสิ้น
…
ส่งการบ้านเทวดา ตอน
” ปฏิบัติธรรม เพื่อให้บรรลุธรรม จะตรวจเช็คการพัฒนาได้อย่างไร ? “
วันที่ 5 มกราคม 2565
เรื่องนี้ แม้แต่ท่านเทวดา ก็ยังต้องนำไปปฏิบัติ
เพื่อไม่ให้เมื่อถึงเวลาหมดวาระจากการเป็นเทวดาแล้ว
ท่านจะไม่ตกลงไปสู่อบายภูมิ
…
ถ้าท่านบอกว่า ท่านคือ ผู้ที่ปฏิบัติธรรม
และ ปฏิบัติมานานแล้ว 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี
คำถามคือ ท่านสังเกตเห็น การพัฒนา ที่เกิดจากการปฏิบัติของท่าน หรือไม่ ?
ถ้าบอกว่า เห็น การพัฒนานั้น คืออะไร ?
>>>
การก้าวหน้า พัฒนาในธรรม นั้น จะวัดผลได้
ก่อนอื่น ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า
การปฏิบัติธรรม เพื่อให้พัฒนาจิตได้นั้น ต้องทำอย่างไร ?
คำว่า ปฏิบัติของท่านนั้น คืออะไร ?
เข้าวัด สวดมนต์ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ใส่บาตร ทำบุญ ทำทาน
ถือศีล นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังธรรม หรือเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม
ทั้งหมดนี้ ทำให้ท่านสามารถเข้าถึง การพัฒนาจิต
ที่รู้สึกได้ว่า มีการพัฒนาขึ้น ได้ไหม ?
ถ้าได้ >>> ได้อย่างไร ? อะไร ที่ทำให้ท่านรู้สึกว่า นี่คือ การพัฒนา
>>>
คนส่วนมาก ทำอย่างที่กล่าวมา เกือบทั้งชีวิต
แต่ก็ยังไม่เห็นว่า ” อะไร ที่มันเปลี่ยนแปลง หรือ อะไร ที่มันพัฒนาขึ้น “
ความรู้สึก ก็ยังเหมือนเดิม
ชีวิตความเป็นอยู่ ฐานะ การงาน การเงิน ก็เหมือนเดิมๆ
หรือบางครั้ง แย่ลงกว่าเดิม
เรื่องโชคลาภ ก็อาจมีบ้าง หรือ ไม่มีเลย
และส่วนมากที่เห็นๆ คือ มีความทุกข์ ให้ประสบอยู่ได้ ไม่เว้นวัน
>>>
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?????
…
การปฏิบัติธรรม เพื่อการพัฒนาจิตนั้น เราต้องรู้ว่า
” เราได้ กำลัง ทำตามพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า หรือไม่ ?
และ พระพุทธเจ้า สอนเรา ถึงเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมนั้น ว่า เพื่ออะไร ? “
เกือบจะ 100 ทั้ง 100 ปฏิบัติธรรม เพื่อ … >>> ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
>>> ใช่ไหม ?
ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อ >>> ความมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือ ?
เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น การงานดีขึ้น เงินดีขึ้น สะดวกสบายขึ้น หรือ หายเจ็บหายป่วย
ถ้านี่คือ เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม
ตอบท่านได้ไม่ยากเลย ว่า ที่ท่านไม่รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
แม้ปฏิบัติมาแล้ว 10 ปี หรือมากกว่านั้น เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ
” ก็เพราะท่านตั้งเป้าหมาย ผิด มาตั้งแต่แรก “
พระพุทธเจ้าสอนให้ ปฏิบัติธรรม เพียงใบไม้ในกำมือ
ย่อลงไปอีก คือ ปฏิบัติลงไปเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ และเข้าไปถึง
” ความเป็น ของ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา “
เป้าหมาย ที่พระพุทธเจ้า ท่านปฏิบัติ เพื่อ ” ความพ้นทุกข์ “
ไม่ใช่ เพื่อ ชีวิตดี งาน เงินดี สะดวกสบาย หายเจ็บไข้ เพราะนี่ยิ่งเป็นการเพิ่ม อัตตา
เพิ่มความมีตัว มีตน มากขึ้นไปอีก
เมื่อเป้าหมาย มันผิดมาตั้งแต่แรก
ปฏิบัติไปเท่าไหร่ มันก็ไม่ถึง ไม่รู้ ไม่เห็น เสียที
เพราะสิ่งที่เราปฏิบัติ มันไม่ได้พาเราไปสู่เรื่องแบบนั้นเลย
>>>
เอาใหม่นะ ท่าน
เรามาลองตั้งเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม กันใหม่
เอาเป้าหมายเดียวกับพุทธะ คือ ปฏิบัติไป เพื่อให้เข้าถึง ไตรลักษณ์
และสุดท้าย คือ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ในสังสารวัฏนี้ ไปเสีย
…
คราวนี้ เมื่อตั้งเป้าหมายได้ถูกต้อง ตรงดีแล้ว
การปฏิบัติ ต้องวัดผลได้
” วัดกันยังไง ? “
” วัดกันที่ จิต ” >>> ความละเอียดของ จิต
เริ่มกันที่ เรื่องแรก คือ ” อนิจจัง “
ความไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน
หรือ ตั้งอยู่ในสภาวะเดิมได้ยาก โดยทั่วไปหมายถึง สังขารธรรม อันได้แก่ ขันธ์ 5
อาการความเปลี่ยนแปลงไปของขันธ์ 5 เช่น
อาการที่ขันธ์ 5 เคยเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสิ้นไปเป็นขันธ์ 5 อันใหม่
>>>
การปฏิบัติ ที่เข้าไปรู้ ไปดู สภาวธรรมนี้ ทำด้วยการวิปัสสนา
ด้วยการกำหนดจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิ แล้ว
เข้าไปพิจารณาตามความเป็นจริงของธรรมชาติในเรื่อง ” ความไม่เที่ยง ” นี้
เช่น ดูกาย ที่ไม่เที่ยง และ ดูใจ ( จิต ) ที่ไม่เที่ยง เหมือนกัน
กาย นั่งอยู่ท่านั้นนานๆ ก็ปวด ก็เมื่อย มันอยู่ท่านั้นตลอดไปไม่ได้
มันต้องขยับ ต้องเปลี่ยนท่า มันถึงจะอยู่ได้
ส่วนใจ หรือจิต ที่มันคิดๆอยู่ตลอดเวลานั้น ก็ให้ดูว่า
ความคิด มันก็เกิด และดับ อยู่ตลอดเวลา
มันไม่ได้คิดแต่เรื่องนั้น เรื่องเดิม อยู่ได้ตลอดเวลาเหมือนกัน
>>>
การกำหนดจิต จิตหนึ่ง ให้ออกมาดู ดูอีกจิตหนึ่ง ที่กำลังคิด ( คนละจิตกัน )
เมื่อจิตที่ออกมารู้ มาดู แยกออกมาได้แล้ว จิตที่ถูกรู้ ถูกดู จะดับไป
แต่ดับไปแล้ว ก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก
จิตที่ออกมารู้ มาดู ก็ดู และรู้ต่อไป จิตที่ถูกรู้ ถูกดู ก็ดับไปเรื่อยๆ และเกิดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ
นี่คือ เห็น ความไม่เที่ยงของจิต
เห็นแค่นี้ รู้แค่นี้ คือ พัฒนาขึ้นแล้วนะ
นี่คือเริ่มต้น ปฐมบท การวิปัสสนา ดูกาย ดูจิต ในเบื้องต้น
>>>
ท่านเทวดาทั้งหลาย
มีจิตรู้ ออกมารู้ มาดู ได้อย่างนี้
กุศล ยิ่งกว่าท่านสวดมนต์ ใส่บาตร ทำบุญทำทาน เดินจงกรม ล้านเท่าเลยทีเดียว ( มากกว่านั้น )
เพราะ
ถ้าแยกจิต ( ผู้รู้ ) ออกมารู้ มาดู กาย และจิตได้
เป็นพื้นฐานของการ แยกธาตุแยกขันธ์ 3 ส่วน คือ กาย เวทนา และ จิต
ถามว่า ” แยกออกแล้ว จะได้อะไรขึ้นมา ? “
” โอ้โห ท่าน แยกจิต ออกจาก กาย และแยก เวทนา ออกจากจิต ได้
ความปรุงแต่งในใจของท่าน มันจะหายไปตั้งแต่น้อย ไปมาก จนไม่เหลือเลย
ถ้าจิตของท่าน ไม่มีการปรุงแต่งความคิดเสียแล้ว
ใจ ( จิต ) ท่าน จะเป็นอิสระจาก เวทนา และ กาย ที่กำลังเสื่อม และมีทุกข์
” อิสระ อย่างไร ? “
” อิสระ เพราะ ไม่มีการปรุงแต่ง ไปตามความคิด
ทุกอย่าง เป็นไปตามความจริงของธรรมชาติ
เกิดขึ้นมา 5 รู้ 5 เกิดขึ้นมา 10 รู้ 10
ไม่ใช่เกิดขึ้นมา 5 ปรุงแต่งไป 15 อย่างนี้คือ มโนนึกคิด
ไม่ได้เข้าไปรู้ ไปเห็นจริงๆ หรือ
ตามไม่ทัน การเกิด-ดับของ จิต
และ จิต ไม่ตั้งมั่นพอ ให้เกิดสมาธิ จึงยังฟุ้งอยู่
ความฟุ้ง เกิดขึ้นจากความกังวล ซึ่งจัดเป็นนิวรณ์
นิวรณ์ทั้ง 5 มี ชอบ ไม่ชอบ ขี้เกียจ ฟุ้งซ่าน และสงสัย
เป็นตัวขัดขวางอยู่
แต่ ละได้ ละด้วยการฝึกเช่นนี้
>>>
เอาล่ะ เขียนเท่านี้ก่อน
คิดว่า ท่านมนุษย์ และเทวดา ที่มีบุญ
พอจะมองเป็นภาพ ( รูปธรรม ) ออก
ว่า
เมื่อเราตั้งเป้าหมายการปฏิบัติ ได้ตรง และถูกต้อง
จิต ที่มุ่งไปสู่เป้าหมาย ย่อมตรงทาง ไม่หลงทาง
หรือถ้าหลง ก็จะรู้ตัว และกลับมาใหม่
กลับมาเริ่มเดินให้ตรงทางใหม่
และเข้าถึง เป้าหมายไปเรื่อยๆ ตามลำดับขั้น
ซึ่ง จิต จะสามารถวัดผลได้
โดย ผู้ปฏิบัติ จะรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่มีใครมาบอก
และใครๆก็บอกไม่ได้ด้วย
ท่านจะรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น ( ปัจจัตตัง )
…
เอาแค่นี้ก่อน
เขียนยาวขี้เกียจอ่าน ( ขี้เกียจเขียนด้วย )
เอาไว้มาพูดถึง ทุกขัง และ อนัตตา ในครั้งต่อๆไป
>>>
คืนนี้ ขอให้ท่านเทวดาพี่ใหญ่
มารับ อิติปิโสฯ กับข้าพเจ้าเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือ จิต ที่ตั้งมั่น ตรงต่อท่าน( ให้เป็นพิเศษ )
ดวงบุญของท่าน สว่างไสวมากเหลือเกิน
สาธุ สาธุ สาธุ