” จิต สู่ จิต ” ( จากมนุษย์ ถึง เทพฯ )

เธออ่านกันดีๆนะ

ฉันกับแม่( ชี ) สื่อกันมาได้แบบนี้

ใช้วิจารณญาณ คิด อ่าน ฟัง ด้วยปัญญา 

อย่าใช้สมองที่มีแค่ สัญญา มาประเมิน มันจะผิด

แล้ว ฉันขอเอาเรื่องนี้ ส่งเป็นการบ้านเทวดาพี่ใหญ่ ในวันนี้ด้วยเลย

13  มิถุนายน 2565

เรื่อง ” จิต สู่ จิต ” ( จากมนุษย์ ถึง เทพฯ )

อัญชลี 

ยกมือขึ้นประนม แล้ว #วิปัสสนา

ถ้ากราบไหว้พระ กราบไหว้รูปลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วกล่าวอธิษฐาน

” ขอให้ลูกร่ำรวย “

” ขอให้ลูกสำเร็จ “

” ขอให้ลูกหายป่วย “

แม่ชี ออกมาในจิต บอกว่า ” เธอจะเอาเหตุอะไร มาทำให้เธอร่ำรวยเล่า ? “

” เธอมีเหตุ ที่จะไปทำให้สำเร็จไหมเล่า “

” เธอทำเหตุอะไร ที่จะทำให้เธอหายป่วยได้ไหมเล่า ? “

มันคือ เหตุ และ ผล ที่เป็นไปตามความเป็นจริง 

มันคือธรรมชาติ และสิ่งที่เกิดขึ้น หรือ ผล ก็เป็นไปตามเหตุ ที่กระทำไว้

” ถ้าเธอเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ประกอบกิจการค้า 

นั่นก็เป็นเหตุ ที่จะทำให้เธอ ร่ำรวยได้ “

” แต่ มันก็มีเหตุ ในความขยัน ความตั้งใจ ความเพียร ที่ผิดที่ผิดทางอีก

เธอค้าขายอย่างเอาเปรียบไหม เธอโกงไหม หรือ เธอมีเล่ห์กลอุบาย ที่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไหม ? 

ถ้ามี มันก็เป็นเหตุ ให้เธอต้องพบกับ ผล ที่สะท้อนกลับมา

เธออาจถูกฟ้อง ถูกเอาคืน ถูกทำโทษ จากกฎหมาย และกฎแห่งกรรม 

ถึงแม้เธอจะได้ความร่ำรวยมาแล้ว มันก็สูญเสีย ไปได้ในทันที “

” ความสำเร็จ ก็เช่นเดียวกัน “

” เธอ ดูแลรักษาตัวเอง อย่างดี อย่างเหมาะสม อย่างถูกต้อง 

จนเป็นเหตุที่จะทำให้เธอหายจากความเจ็บป่วยไหม ?

หรือเธอไม่ยอมรักษา แต่มาสวดมนต์ หรือกราบไหว้พระขอพร ให้เธอหาย

มันจะมีเหตุอะไร ที่ไปทำให้เธอหายจากความเจ็บป่วยได้ “

” ถ้าเธอศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และต้องการที่จะหายจากความเจ็บป่วย

เธอรู้จัก คำสอนเรื่อง ” โพชฌังคปริตร ” ไหม ?

คำสอนนั้นว่าอย่างไร ?


โพชฌังโค สะติสังขาโต                 

ธัมมานัง วิจะโย ตะถา     

วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ                           

โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร

สะมาธุเปกขะโพชฌังคา                   

สัตเตเต สัพพะทัสสินา

นั่นคือ 

อัน โพชฌงค์  มีธรรม 7 ประการ สิ่งแรกคือ ” สติ “

เป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ 

1. สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง

2. ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม

3. วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร

4. ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ

5. ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ

6. สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์

7. อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง


7 ข้อนี้ รักษาโรคได้ เมื่อปรับธรรมต่างๆไปรักษาตัว

เช่นรักษาตัวด้วยสติ เลือกยา เพียรดูแลตัวเอง เชื่อในสรรพคุณยาและเชื่อว่าจะหาย มีสมาธิ สงบ ไม่ปรุงแต่ง และปล่อยวาง

ทั้งหมดนี้ ท่านสอนให้ทำเหตุ จึงจะเกิดผล

ไม่ใช่มาขอผล โดยไม่มีเหตุมาสนับสนุนตัวเองเลย

>>>

วิปัสสนา 

ไม่ว่าจะเทพ เทวา ที่ไหน ใดๆก็ตาม

ต่างก็มีธรรมะเดียวกัน คือ พระธรรมคำสอนของพระศาสดา ผู้สูงที่สุด

คือ ” จงมองทุกอย่าง ด้วยความเป็นจริง “

และทุกอย่าง มีเหตุ มีผล มีที่มา มีที่ไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

ถ้าเรามองไปตามความเป็นจริง เราจะเห็นอย่างนี้

และไม่เห็นเป็นอื่นไปจากนี้

นี่คือ ธรรมะ ที่แท้จริง 

เป็นธรรมะจาก พระพุทธเจ้าแท้ๆ 

ที่เราสามารถนำไปสื่อกับเทพ เทวาที่ไหนๆก็ได้

โดยไม่ต้องอ้าปากพูด หรือสวดอะไรใดๆ ให้ยุ่งยาก

เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มักสร้างความยุ่งยาก จากผู้ไม่รู้ รู้ไม่จริง แต่สร้างรูปแบบ กฎเกณฑ์ขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง เพื่อเหตุผลส่วนตัว หรือ หาลาภสักการะต่างๆ แม้แต่พระ ที่ห่มผ้าเหลืองแล้ว จะดูเป็นที่น่านับถือ เพราะ ภาพลักษณ์ที่เป็นมาตรฐาน ภาพที่เหมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า แต่ การสอนผิดหลักธรรม ผิดไปจากปริยัติที่ร่ำเรียนมา 

สิ่งเหล่านี้ ดึงดูดคนต่างประเภท เป็นไปตามกฎแห่งกรรม 

คนหรือเผ่าพันธุ์ที่มีกรรม ก็จะไม่รู้ หรือเห็นผิดเป็นชอบ เข้าไปคล้อยตาม สนับสนุน และสร้างความศรัทธา โดยหวังในสิ่งที่ไม่มีเหตุ อันสมควรได้นั้นๆ

ซึ่ง ทางธรรมะ ( ธรรมชาติ ) แล้ว >>> เป็นไปไมได้

เป็นไปไมได้ เพราะ ไม่มีเหตุให้เป็น

แต่พยายามไปสร้างเหตุแบบอื่นๆ ที่จะไปเกิดผลแบบอื่นๆตามมาอีกมากมาย เป็นการก่อเวรกรรม ไม่รู้จักจบสิ้น

>>>

ออกจากวิปัสสนาแล้ว

แต่จิต ยังคงอยู่กับความเป็นจริง

มองตาแม่ แล้วไม่ต้องพูด หรือคิดอะไร

แค่ปล่อยวาง … วางลงทั้งหมด

เท่านี้ ก็สื่อกับแม่ ได้แล้ว